ไอคิวและอาหารเสริมบำรุงสมอง

ไอคิวและอาหารเสริมบำรุงสมอง

..D สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน... ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กๆใกล้สอบเข้าโรงเรียนดังและมหาวิทยาลัยต่างๆ... ดังนั้นจึงมีคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน ที่เข้ามาปรึกษาว่าจะช่วยลูกได้อย่างไรบ้างให้พวกเขาสอบได้ตามที่(พ่อแม่ หรือเด็ก)หวังไว้ อาหารเสริมอะไรบ้างที่น่าจะพอช่วยให้เด็กๆจำได้ หรือสามารถเปลี่ยนไอคิวจากคนหัวทึบเป็นเด็กฉลาดในบัดดล แต่ก่อนอื่นพิ้งกี้ขอเกริ่นสักนิดหนึ่งว่า... สมองนั้นมีพัฒนาการอย่างไร... เพื่อที่จะนำไปสู่การเข้าใจในเรื่องของอาหารเสริมนะคะ

สมองนั้นมีการเจริญเติบโตเต็มที่ในช่วงที่เด็กมีอายุ 18 สัปดาห์ที่อยู่ในครรภ์... จนกระทั่งถึงอายุ 2 ปี เป็นช่วงที่สมองมีการเจริญเติบโตเร็วมาก โดยเฉพาะเมื่อมีอายุ 2 ปีน้ำหนักของสมอง เกือบจะเท่ากันกับสมองของผู้ใหญ่ ซึ่งทั้งขนาดและน้ำหนักสมองจะมีประสิทธิภาพในการรับรู้เทียบเท่ากับผู้ใหญ่ เพียงแต่เด็กยังไม่ได้รับการป้อนข้อมูลใดๆเข้าไปเท่านั้น... ในช่วงนี้อาหารที่มีโปรตีนจำเป็นต่อการเจริญของสมองอย่างเต็มที่ ดังนั้นช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่ควรเน้นให้ลูกๆรับประทานประเภทโปรตีนโดยเฉพาะจาก เนื้อปลา เพราะนอกจากจะให้กรดอะมิโน(หน่วยย่อยที่สุดของโปรตีน)แล้ว ยังให้สารช่วยการสร้างเซลล์สมองและจอประสาทตานั่นคือ DHA ค่ะ ...แต่การเจริญของสมองนั้นยังสามารถเจริญต่อไปได้อีก หากเด็กมีการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ฝึกคิดเลขเร็วหรือท่องจำอย่างเดียวค่ะ อาจมีการฝึกทักษะอื่นๆด้วยเช่น เล่นกีฬา วาดรูป เล่นดนตรีค่ะ
พัฒนาการของสมองนั้นมีส่วนหนึ่งที่พัฒนาแล้วก่อนคลอดประมาณ 30 % ในช่วงปฐมวัยนี้จะมีการพัฒนาการถึง 70 % สมองใช้เวลา... 6 – 8 ปี ในการเจริญเต็มที่ ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมในช่วงที่เลยวัยนี้ไปอาจช่วยได้แค่ป้องกัน เซลล์สมองไม่ให้ถูกทำลายและเสริมสร้างความจำแต่ไม่สามารถทำให้สมองเจริญเติบ โตเพิ่มได้อีกแล้วค่ะ (มิเช่นนั้นเราคงหัวโตเป็นมนุษย์ต่างดาวแน่เลยถ้าสมองยังโตไปได้เรื่อยๆ)
ปัจจุบันมนุษย์ใช้ประโยชน์จากสมองเพียง 10 % ของประสิทธิภาพที่มี ยังมีพลังสมองส่วนที่ซ่อนเร้นอยู่ถึง 90 % รอการปลดปล่อย และอัตราการพัฒนาสมองของมนุษย์ ซีกซ้ายพัฒนา 80 % ซีกขวาเพียง 20 % หากหลายท่านตั้งข้อสังเกตเรื่องการศึกษาและการเรียนรู้ของเด็กไทย จะพบว่าเน้นพัฒนาการด้านสติปัญญาเพียงด้านเดียว ให้ท่องจำ... ให้อ่านออกเขียนได้ สอบแข่งขันเข้าโรงเรียนดังๆได้เท่านั้นพอ แต่การพัฒนาด้านอื่นๆที่ควรทำควบคู่กันไปกลับถูกมองข้าม เด็กทุกคนมีความสามารถและศักยภาพอยู่ในตัวทุกคน เด็กต้องการความเข้าใจ... โอกาสและเจตคติของพ่อแม่ที่มีต่อการเรียนของเด็กด้วยค่ะ
แล้วไอคิวของเด็กสามารถวัดความสำเร็จของเด็กในอนาคตได้หรือไม่
ไอคิว คือ ตัวเลขที่ใช้ในการวัดและบอกถึงระดับของสติปัญญาของมนุษย์... หรืออีกนัยหนึ่ง ไอคิว หมายถึง ตัวเลขที่สามารถบอกได้ถึงอายุของสมอง แล้วเปรียบเทียบกับอายุที่แท้จริงของเขา โดยใช้หลักในการวัด บวกกับผลการทดสอบ แล้วนำมาเปรียบเทียบกับผลการทดสอบของคนอื่นๆในวัยที่ใกล้กันหรือในวัยเดียว กัน หากพบว่าเด็กมีไอคิวสูงหมายถึงเด็กที่มีความฉลาด ตรงกันข้ามหากเด็กมีไอคิวที่ต่ำหมายถึง เด็กที่มีความฉลาดน้อยกว่า แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงกันค่ะว่า บททดสอบทางไอคิวของเด็กนั้น จะสามารถวัดและสะท้อนถึงสติปัญญาที่แท้จริงของเด็กได้เสมอไปหรือไม่ เพราะเด็กบางคนสามารถทำคะแนนได้สูงมาก แต่ในการดำรงชีวิตประจำวัน ... ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ กลับกันคือเด็กบางท่านทำคะแนนได้ในระดับไม่สูงมากนัก... แต่ในการดำรงชีวิตประจำวัน สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้อย่างดีเยี่ยม มีความคิดสร้างสรรค์ มีไหวพริบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง ด้วยเหตุนี้ ไอคิวจึงไม่สามารถวัดเชาว์ปัญญาที่ถูกต้องเสมอไป ดังนั้นเราควรสนใจ ในการช่วยให้เด็กสามารถแก้ปัญหาในการใช้ชีวิตและเรียนรู้ที่จะอยู่ในสังคม ได้ นั่นคือสิ่งที่สำคัญกว่าค่ะ
อาหารเสริมที่ช่วยบำรุงสมองมีอะไรบ้าง
1. น้ำมันปลา คงปฏิเสธไม่ได้คะว่าน้ำมัน...ปลานั้นมีประโยชน์จริงๆในการเจริญเติบโตของสมอง ตั้งแต่ในครรภ์จนถึงอายุประมาณ 6 ปี หากสมองในช่วงนี้ได้รับน้ำมันปลาเพียงพอ ก็จะสามารถเจริญได้มากขึ้น การเรียนรู้จึงมีมากขึ้นด้วยคะ นอกจากนั้นยังช่วยเสริมสร้างและบำรุงจอประสาทตาให้เจริญเป็นปกติอีกด้วยคะ ซึ่งเป็นผลจากสารที่อยู่ในโอเมกา 3 นั้นคือ DHA นี่เอง แต่ในโอเมกา3 นั้นยังประกอบไปด้วย EPA ด้วยค่ะ เจ้า EPA นี้ช่วยลดระดับไขมันในเลือดโดยเฉพาะไขมันตัวร้ายที่ชื่อ ไตรกลีเซอไรด์(TG) เพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดอาการอักเสบทั่วร่างกาย น้ำมันปลาจึงจัดเป็นอาหารเสริมอันดับต้นๆในการใช้บำรุงสมองและชะลอวัยค่ะ หากต้องการเน้นบำรุงสมองนั้น ผู้อ่านที่รักของพิ้งกี้ควรดูที่ฉลากค่ะว่า 1 แคปซูลหรือ 1 ช้อนโต๊ะให้ DHA กี่มิลลิกรัม ไม่ใช่ดูที่มิลลิกรัมของน้ำหนักน้ำมันปลานะคะ ในคนท้องนั้นแนะนำให้ทาน DHA อย่างน้อยวันละ 300 มิลลิกรัม,เด็กแรกเกิดถึง 3 ปีแนะนำให้ทาน DHA วันละ 150 มิลลิกรัม,เด็ก 3 ปีขึ้นไปจนถึงผู้ใหญ่ทั่วไปแนะนำให้ทาน DHA อย่างน้อยวันละ 300 มิลลิกรัม ส่วนการป้องกันสมองเสื่อมในผู้สูงวัยควรได้รับ... DHAอย่างเพียงพอในปริมาณ 500-1,000 มิลลิกรัมต่อวันค่ะ
2. สารสกัดจากใบแปะก๊วย ใบแปะก๊วยนั้นเป็นพืชดึกดำบรรพ์ตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์กันเลยทีเดียวค่ะ (ยังสงสัยว่าไดโนเสาร์คงจะสมองดีไม่น้อย ถ้าแอบกินใบนี้เข้าไป)ใบแปะก๊วยนั้นให้สารที่สำคัญหลายชนิดเช่น สารกลุ่มฟลาโวนไกลโคไซด์ (ช่วยลดการอักเสบ ลดอนุมูลอิสระ และทำให้เลือดไหลเวียนที่สมอง) สารกลุ่มเทอพินอยด์ ที่มีสารสำคัญชื่อ... กิงโกไลน์ B (ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดการอุดตันในเส้นเลือด) และสารกลุ่มไบโลกาไลน์ (ยับยั้ง NF kappa B ที่เป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์) ปริมาณที่แนะนำต่อวัน คือ 60 มิลลิกรัม ถ้าต้องการป้องกันโรคสมองเสื่อมคือวันละ 120 มิลลิกรัมค่ะ การรับประทานจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น... ช่วยให้สมองมีเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น สมองจึงแจ่มใส ปลอดโปร่งคิดอ่านง่ายขึ้น ส่วนในผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อมนั้นถ้าเป็นแล้วไม่สามารถรักษาได้ แต่ทานไม่ให้อาการแย่ลงไปกว่าเดิมเท่านั้นคะ วันละ 120 มิลลิกรัมเช่นกันค่ะ
3. เลซิติน สารสกัดจากถั่วเหลือง ให้สารตั้งต้นที่ชื่อฟอสฟาติดิลโคลีน ที่ใช้ในการสร้างอะซิติลโคลีนหรือสารช่วยจำในสมอง... ซึ่งสารช่วยจำตัวนี้จะลดลงมากในผู้ที่เป็นอัลไซเมอร์ค่ะ ดังนั้นการรับประทานเลซิตินจึงอาจช่วยให้ระดับสารช่วยจำตัวนี้เพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ให้ผลดีกับผู้ป่วยทุกรายไปค่ะ เพราะถ้าเซลล์สมองเสื่อมไปมาก ต่อให้มีสารช่วยจำเพิ่มขึ้น การสื่อสารในสมองก็ไม่เกิดอยู่ดี นอกจากนั้นเลซิตินยังสามารถควบคุมระดับโคเลสเทอรอลในร่างกาย เพราะเลซิตินเป็นตัวละลายไขมัน(Emulsifier)ตามธรรมชาติ ทำให้ไขมันไม่รวมตัวเป็นก้อนใหญ่และป้องกันไขมันพอกตับได้ด้วยค่ะ ขนาดที่แนะนำต่อวันคือ 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อวันหลังมื้ออาหารค่ะ... การรับประทานเลซิตินแม้จะช่วยเพิ่มสารสื่อประสาทในสมอง แต่ตอบยากค่ะว่าถ้าผู้ที่ต้องการใช้ความจำนั้นจะจำได้ดีขึ้นหรือไม่ เพราะร่างกายแต่ละคนนำไปใช้ได้ไม่เท่ากันขึ้นกับหลายปัจจัย คุณหมอบางท่านแนะนำว่าทานอย่างน้อย 2 เดือน เพื่อเสริมสร้างความจำให้ดีขึ้นแต่ก็ขึ้นกับคนที่ทานด้วยว่าจะใส่ใจในสิ่ง นั้นๆได้มากเหมือนเดิมหรือไม่ค่ะ
4. กรดอะมิโนแอล-ธีอะนีน (L-theanine) ..กรดอะมิโนตัวนี้สกัดได้จากชาเขียวค่ะ มีข้อมูลสนับสนุนเยอะว่า สารตัวนี้สามารถเพิ่มสมาธิให้กับสมองได้ ...เราจึงจดจ่ออยู่กับสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้น ผลที่ว่านี้มาจากการเพิ่มขึ้นของคลื่นสมองชนิดอัลฟ่า (Alpha-wave) ที่เกิดตอนเรารู้สึกผ่อนคลาย สงบหรือมีสมาธิ ซึ่งคลื่นนี้จะพบได้ในตอนที่เราหลับด้วยค่ะ จึงใช้ในผู้ที่หลับๆตื่นๆเพราะจะทำให้เราหลับลึกขึ้น ตื่นอย่างสดชื่นค่ะ แต่ไม่ได้ทำให้ง่วงหรือติดนะคะ ขนาดที่แนะนำในการบำรุงสมองหรือชะลอความเครียด วันละ 50-100 มิลลิกรัมตอนเช้า แต่ถ้าต้องการเพิ่มคุณภาพการนอนก็ 100-150 มิลลิกรัม ก่อนเข้านอนค่ะ
ส่วนตัวสุดท้ายนั้นพิ้งกี้ขออุบไว้เล่าครั้งหน้านะคะ นั่นคือ.. Soy peptide นั่นเองคะ ว่าจะช่วยบำรุงสมองให้ฉลาดได้จริงใจหรือไก่กากันแน่ ไปแล้วนะคะ บ๊ายบาย

 

เรื่องต่อไป
« โพสก่อนหน้า
เรื่องก่อนหน้า
โพสต่อไป »